วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 12
วันพฤหัสบดี ที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2561
เวลา 08.30 - 11.30 น.

อาจารย์พานักศึกษาไปศึกษาดูงานที่
ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา

เว็บไซต์ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา


ภาพบรรยากาศการศึกษาดูงาน















บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 11
วันพุธ ที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2561
เวลา 12.30 - 15.30 น.


เนื้อหาการเรียนรู้
                             - อาจารย์ให้นักศึกษาออกมานำเสนอคำคมหน้าชั้นเรียน 3 คน ดังนี้


คนที่ 1 นางสาวประวีณา หงสุด




คนที่ 2 นางสาววิจิตรา เสริมกลิ่น





คนที่ 3 นางสาวสาวิตรี จันทร์สิงห์




                         - อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มนำเสนอวิดีโอการสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา

กลุ่มที่ 1 โรงเรียนวัดไตรรัตนาราม(ชื่นชูใจราษฎ์อุทิศ)





กลุ่มที่ 2 โรงเรียนวัดนวลจันทร์




กลุ่มที่ 3 โรงเรียนวัดอุทัยธาราม




ประเมินตนเอง
                        - ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินอาจารย์

                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 10
วันพุธ ที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2561
เวลา 12.30 - 15.30 น.

เนื้อหาการเรียนรู้
                             - อาจารย์ให้นักศึกษาออกมานำเสนอคำคมหน้าชั้นเรียน 3 คน ดังนี้

คนที่ 1 นางสาวพรชนก ไตรวงษ์ตุ้ม



คนที่ 2 นางสาวศิริพร  ขมิ้นแก้ว



คนที่ 3 นางสาวธณภรณ์ บุญใสยัง



             
                         - เข้าสู่บทเรียนเรื่อง เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร

ความหมายของบุคลิกภาพ
              ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ
             บุคลิกภาพภายนอก สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันที บุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
             บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส
ประเภทของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น  4 หมวด คือ
1.  รูปร่างหน้าตา
2.  การแต่งกาย
3.  กิริยาท่าทาง
4.  การพูด
บุคลิกภาพภายใน  คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แก้ไขได้ยาก  เช่น
1. ความเชื่อมั่นในตนเอง  
2. ความกระตือรือร้น
3. ความรอบรู้  
4. ความคิดริเริ่ม
5. ความจริงใจ  
6. ไหวพริบปฏิภาณ
7. ความรับผิดชอบ  
8. ความจำ
9. อารมณ์ขัน
หลักและวิธีเสริมสร้างบุคลิกภาพ
                การยืน เดิน นั่งเป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลอิริยาบถคือการเดิน ยืน นั่ง เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อย่างถูกต้องสวยงาม
               การรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จักกราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ การรู้จักธรรมเนียมของชาวต่างชาติ การปฏิบัติตนในงานเลี้ยงต่างๆการไปเยี่ยมคนป่วยการมอบดอกไม้แสดงความยินดีหรือให้ผู้อาวุโส เป็นต้น
       บางครั้งเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อม คือไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัว เกินกว่าเหตุ สามารถควบคุมท่าทางของตนเองได้เป็นอย่างดี
การพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิด
                  ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดในด้านดีไม่มองคนในแง่ร้ายจิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความกังวล ดังนั้นจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิดดังนี้
1.  มีความเชื่อมั่นในตนเองในการกระทำในสิ่งต่าง ๆ
2.  มีความซื่อสัตย์ กระทำตนให้ผู้อื่นเชื่อถือเรา แล้วความไว้วางใจจะตามมา มีเรื่องสำคัญเขาก็จะให้เราทำ
3.  มีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจให้เราทำ
4.  มีความกระตือรือร้น ที่อยากจะทำ เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
5.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ
6.  มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจะต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา
7.  มีความรอบรู้                     
8.  ห่วงตัวเอง เติมชีวิตให้กับตัวเอง
9.  มีความจำแม่น                  
10.   วางตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
- การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง 
- การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ 
- การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ 
                   การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ เพื่อบุคคลจะได้ลดละความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาสและเป็นผู้ให้ในบางโอกาส มีจิตใจที่ดีงาม มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่าบุคคลได้ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง
การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการเรียนรู้
                  ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นครูจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตรงกับตนเองอยู่เสมอ เช่น
    1. การฟัง
    2. การอ่าน
    3. การเขียน
    4. การสังเกต
    5. การคิด
    6. การทดลอง

ประเมินตนเอง
                        - ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินอาจารย์



                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 9
วันพุธ ที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2561
เวลา 12.30 - 15.30 น.

ทำข้อสอบกลางภาคเรียน

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 8
วันพุธ ที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2561
เวลา 12.30 - 15.30 น.


เนื้อหาการเรียนรู้
                            - อาจารย์ให้นักศึกษานำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร
กลุ่มที่ 1 งานวิจัย เรื่องรูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษา สู่ความเป็นเลิศระดับสากล 
ผู้วิจัย : อุดม   ชูลีวรรณ ปีการศึกษา 2559  

บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
          ประเด็นที่ 1. ระบบการศึกษาในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนของชาติให้มีคุณภาพตามที่สังคมปรารถนาโดยจะต้อง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม คุณลักษณะของบุคคลให้อดคล้องกับ ทิศทางการพัฒนาประเทศ เพื่อเป็น พลังในการขับ เคลื่อนพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศได้
          ประเด็นที่ 2. การศึกษาทุกระบบมุ่งเน้นที่จะให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ
          ประเด็นที่ 3. เพื่อจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ประเทศไทยได้มีการปฏิรูปการศึกษามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ.2542 ทั้งปรับโครงสร้างการบริหาร การพัฒนายกระดับคุณภาพครู หลักสูตร การเรียนการสอน     
           ประเด็นที่ 4. การกำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์ ของคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษา
           ประเด็นที่ 5. การส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อพัฒนาสู่คุณภาพระดับสากล โดยเริ่มต้นจากโครงการ โรงเรียนมาตรฐานสากล
           ประเด็นที่ 6. การบริหารจัดการโรงเรียนด้วยระบบคุณภาพที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบที่จะพัฒนาองค์กรให้ มีผลดำเนินการที่เป็นเลิศ   


วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
2.เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมสู่ความเป็นเลิศระดับสากล

สรุปผลการวิจัย
สรุปองค์ประกอบของระบบการบริหารจัดการคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ มาตรฐานสากลได้ 7  องค์
ประกอบหลักดังนี้ 
1)การนำองค์การ ผู้บริหารโรงเรียนจะให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์ของ โรงเรียน  โดยยึดหลักการมี
ส่วน ร่วมของทุกฝ่าย  มีการสื่อสารสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ ค่านิยม มีการกำหนดเป้า
หมายความสำเร็จ  และสมรรถนะขององค์กร
2) การวางแผนกลยุทธ์  ผู้บริหารโรงเรียนดำเนินการให้มีการวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของภาค
เรียน  หรือปีการศึกษาที่ผ่านมาวิเคราะห์จุดเด่น จุดด้อย โอกาสและอุปสรรคว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรียนต่ำลงหรือสูงขึ้น  มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ ระยะ 4 ปี และแผนปฏิบัติการประจำปี 
3) การมุ่งเน้นผู้เรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย  ผู้บริหารโรงเรียนสื่อสาร สร้างความเข้าใจกับนักเรียนเกี่ยว
กับ วิสัยทัศน์ ค่านิยมในการบริหารโรงเรียนสู่มาตรฐานสากล  มีการสำรวจความต้องการของนักเรียน ผู้
ปกครองและศิษย์เก่า  ศิษย์ปัจจุบันในการกำหนด หลักสูตรต่าง ๆ
4)การวัด การวิเคราะห์และการจัดการความรู้ มีการวัดผลการดำเนินการ โดยโดยบุคลากรทุกคนทุกงาน
รายงานผลการปฏิบัติงานตามตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการ  มีการกำหนดผู้รับผิดชอบงาน 
หัวหน้างาน มีการวิเคราะห์ตัวชี้วัดมาตรฐานการปฏิบัติงาน มีการนิเทศตามโดยหัวหน้างาน
5) การมุ่งเน้นบุคลากร  มีการสร้างคุณค่าของผู้ปฏิบัติงานโดยผู้บริหารหัวหน้างานสร้างความเข้าใจให้ทุก
คนทราบวัตถุประสงค์ของงานที่ปฏิบัติจัดให้มีการศึกษาดูงานจากโรงเรียนที่มีผลการปฏิบัติที่เป็นเลิศ
เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนางาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยให้ครูเก่าๆมาเป็นพี่เลี้ยง มีการพัฒนาครู
บรรจุใหม่โดยจัดปฐมนิเทศ มีการถ่ายทอด แนะนำ เพื่อสร้างผู้รับช่วงต่ออย่างต่อเนื่อง มีการสร้างขวัญ
กำลังใจในการทำงาน
6) การมุ่งเน้นการปฏิบัติ  โรงเรียนมีการออกแบบระบบงานเป็นกลุ่มงาน  มีโครงสร้างการบริหารที่ชัดเจน 
มีผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้บริหารสูงสุด  แบ่งโครงสร้างการบริหารออกเป็น 4 กลุ่มบริหาร  ได้แก่ กลุ่ม
บริหารงานวิชาการ กลุ่มบริหารงบประมาณ  กลุ่มบริหารบุคคล  และกลุ่มบริหารงานทั่วไป
7)ผลลัพธ์ด้านผู้เรียน คุณลักษณะเกี่ยวกับคุณภาพผู้เรียนสู่ความเป็นเลิศ ระดับสากลในศตวรรษที่ 21  
ดังนี้  1.ความรู้พื้นฐาน  2.สมรรถนะเป็นเลิศ  3. คุณลักษณะ  4. บุคลิกภาพของ 

กลุ่มที่ 2 งานวิจัย เรื่องการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนเครือ
ข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร

ผู้วิจัย : นางสาวจิรัญญา ขัดธิพงษ์ ปีการศึกษา 2558



กลุ่มที่ 3 งานวิจัย เรื่องรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏบัณฑิตวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร

ผู้วิจัย : นางนาริสานันท์  เดชสุระ ปีการศึกษา 2552



บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
         ประเด็นที่ 1  การจัดการศึกษาภาคบังคับเป็นการจัดการศึกษาที่เริ่มตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ไม่ได้คลอบคลุมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย เป็นเพียงการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่นักการศึกษาและนักจิตวิทยามีความคิดเห็นที่สอดคล้องกันว่าเด็กวัยแรกเกิดจนถึง 6 ปีเป็นวัยที่สำคัญต่อการวางรากฐานบุคลิกภาพและการพัฒนาศักยภาพทางสมอง การจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยจึงมีความสำคัญต่อการส่งเสริมพัฒนาเด็กในทุกๆด้าน ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ -จิตใจ สังคมและสติปัญญา เป็นการส่งเสริมความพร้อมในการที่จะเรียนรู้ในระดับต่อไป ซึ่ง สถานศึกษาแต่ละแห่งมีรูปแบบการบริหารและการดำเนินงานที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันแต่มีจุดร่วมเดียวกันเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กให้มีคุณภาพเพื่อส่งผลต่อการพัฒนาสังคมและประเทศด้วย
        ประเด็นที่ การจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยนับว่ามีความสำคัญเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นการวางรากฐานคุณภาพชีวิต การศึกษาให้แก่เยาวชนซึ่งโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยราชภัฏมีบทบาทในการดำเนินงานด้านการศึกษาปฐมวัย การดำเนินงานและการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กล่าวคือต้องมีการบริหารงานที่มีรูปแบบหรือลักษณะชัดเจนถูกต้องเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
        ประเด็นที่ สาธิตปฐมวัยเป็นโรงเรียนที่จัดการศึกษาในระดับปฐมวัยคือการจัดการศึกษาสำหรับเด็กนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 2 ปีครึ่ง - 5 ปี 11 เดือน โดยมีปรัชญาในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยเต็มศักยภาพสอดคล้องกับพัฒนาการทางด้านร่างกาย ด้านอารมณ์จิตใจ สังคมและสติปัญญา และเป็นไปโดยธรรมชาติภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เป็นอิสระ ภารกิจของการดำเนินงานโรงเรียนสาธิตปฐมวัย
 1.  พัฒนาเด็กปฐมวัยให้เต็มตามศักยภาพ ให้เป็นไปโดยธรรมชาติ
 2.  เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพให้แก่นักศึกษาโปรแกรมวิชาการศึกษาปฐมวัย
 3.  เป็นแหล่งการบริหารวิชาการ ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาข้อมูลวิชาการทางด้านการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนสาธิตมีภารกิจที่รับผิดชอบเช่นเดียวกันกับโรงเรียนอื่นๆ ได้แก่ งานวิชาการ งานบุคลากร งานกิจการนักเรียน

วัตถุประสงค์ของการวิจัย  
          จากสภาพความเป็นมาและปัญหาของการวิจัยดังที่ได้กล่าวข้างต้นผู้วิจัยกำหนดจุดประสงค์ของการวิจัยและกัน
1. เพื่อทราบองค์ประกอบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
2. เพื่อนำเสนอรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ

สรุป

             การบริหารการศึกษาคือการดำเนินการของกลุ่มบุคคลเพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคมให้มีความเจริญงอกงามในด้านต่างๆเพื่อให้สมาชิกที่ดีของสังคมหรือกิจกรรมต่างๆที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการเป้าหมายของสังคมที่ตนดำเนินชีวิตอยู่ซึ่งองค์ประกอบกระบวนการบริหารการศึกษามีดังนี้1.)การวางแผน 2.)การจัดองค์การ 3.)การจัดคนเข้าทำงาน  4.)การประสานงาน 5.)การควบคุม  และแนวความคิด  ที่ควรมีโรงเรียนสาธิตสำหรับเป็นที่ฝึกหัดสอนนักเรียนฝึกหัดครูซึ่งเกิดขึ้นมา 300 ปีมาแล้ว     ดุ๊ก ออฟ เออเนสต์ แห่งโกรธาได้แสดงความคิดเห็นว่านักเรียนฝึกหัดครูควรได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติการสอนจริงในเรื่องที่ตนจะต้องทำการสอนในภาคหน้าโรงเรียนสาธิตเพื่อจุดมุ่งหมายคือสำหรับเป็นที่ฝึกสอนฝึกงานสังเกตและศึกษาของนิสิตนักศึกษาวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยผู้ที่กำลังศึกษาในวิชาการศึกษาสำหรับเป็นที่วิจัยในในเรื่องสำคัญต่างๆของนักศึกษาเช่นวิธีการสอบสอนต่างๆที่การดำเนินงานโรงเรียนที่ถูกต้องเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติงาน

สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
            การบริหารและหลักการบริหารการจัดการมีความสำคัญในการวางระบบการบริหารโรงเรียน โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเป็นรูปแบบ และแนวคิดในการบริหารที่จะต้องกระจายอำนาจการบริหารทำให้สถานศึกษามีอำนาจและความรับผิดชอบในการบริหารมีความคล่องตัวและมีอิสระมากขึ้นในการตัดสินใจ การสร้างประสิทธิภาพของโรงเรียนควรเน้นการบริหารการจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานอย่างชัดเจน และเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้

กลุ่มที่ 4 งานวิจัย เรื่องการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง   สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1

ผู้วิจัย : ยุกตนันท์   หวานฉ่ำ ปีการศึกษา  2555



บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
         ในสภาพของสังคมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  สังคมประเทศไทยเป็นยุค ที่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ทันสมัยเข้ามามีบทบาทพร้อมกับวัฒนธรรม ของชาติตะวันตกซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งทางด้านเศรษฐกิจ  สังคม และ วัฒนธรรม  ซึ่งการศึกษาถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า และ เป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาในทุกๆด้าน การบริหารสถานศึกษา  เป็นภารกิจหลักของผู้บริหารที่จะต้องกำหนดแบบแผนวิธีการและ ขั้นตอนต่างๆ ในการปฏิบัติงานไว้อย่างเป็นระบบ เพราะถ้าระบบการบริหารงานไม่ดีจะ กระทบกระเทือนต่อส่วนอื่นๆ ของหน่วยงาน  นักบริหารที่ดีต้องรู้จักเลือกวิธีการบริหารที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ  เพื่อที่จะให้งานนั้นบรรลุจุดหมายที่วางไว้  การบริหารงานนั้น  จะต้องใช้ศาสตร์ และศิลป์ทุกประการ  เพราะว่าการดำเนินงานต่างๆ มิใช่เพียงกิจกรรมที่ผู้บริหารจะกระทำเพียงลำพัง คนเดียว  แต่ยังมีผู้ร่วมงานอีกหลายคนที่มีส่วนทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ

วัตถุประสงค์การวิจัย
1.  เพื่อศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน  ในอำเภอคลองหลวง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1  
2.  เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลของโรงเรียน  ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงาน  เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1    
3.  เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของ   โรงเรียน  ในอำเภอคลองหลวง  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1

สรุปผลการวิจัย
1)  ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ51 ปีขึ้นไป มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรี ตำแหน่งหน้าที่เป็นครู คศ. 2 และมีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า 15 ปี        
2) การบริหารสถานศึกษา ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านการบริหารวิชาการ และด้านที่มีการปฏิบัติอยู่ในระดับน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านการบริหาร งบประมาณ
3)  ระดับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีการปฏิบัติในระดับมากที่สุด ได้แก่ ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และด้านที่มีระดับการ ปฏิบัติน้อยที่สุด คือ ความใฝ่รู้ รักการอ่าน แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน
4)  ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอ   คลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 พบว่าโดยภาพรวม  มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง โดยคู่ที่มี ความสัมพันธ์กันสูงสุด ได้แก่  ด้านการบริหารงานบุคคลกับความพึงพอใจในการทำ งานของครู และ ด้านความสามารถในการใช้สื่อ นวตักรรมและเทคโนโลยีของครู และคู่ที่มีความสัมพันธ์กันต่ำสุด ได้แก่ ด้านการบริหารงบประมาณกับด้านความใฝ่รู้ รักการอ่าน แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของ นักเรียน

กลุ่มที่ 5 งานวิจัย เรื่องทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1

ผู้วิจัย : ศศิตา  เพลินจิต ปีการศึกษา 2558



บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 : ปัญหาสำหรับผู้บริหารที่ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับยุค ของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ประเด็นที่ 2 : ผู้บริหารขาดทักษะที่จาเป็นสาหรับการบริหารในองค์กรและ หน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษา
ประเด็นที่ 3 : ผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ จะต้องมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่21เพื่อหน่วยงานให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
ประเด็นที่ 4 : การพัฒนาทักษะของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะของผู้บริหาร
ประเด็นที่ 5 : ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
- เพื่อศึกษาทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัด สำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
- เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม   เขต จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา

สรุปผลการวิจัย
1.ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การ
ศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน 
พบว่า มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกด้านเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ย คือ
• ด้านภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ
• ด้านทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม
• ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัว
• ด้านการเป็นผู้สร้างหรือผลิตและรับผิดชอบเชื่อถือได้
• ด้านการริเริ่มสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง
2.การเปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาในภาพ
รวมและรายด้านไม่มีความแตกต่างกัน

กลุ่มที่ 6 (กลุ่มดิฉัน) งานวิจัย เรื่องการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้
บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น

ผู้วิจัย : นัยนา เจริญผล ปีการศึกษา   2552


บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 เป็นแนวทางสำคัญในการจัดระเบียบให้สังคมทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาค
ประชาชน ซึ่งครอบคลุมไปถึงฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ
ประเด็นที่ 2 ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยังยืนและเป็นส่วนเสริมความเข้มแข็งหรือสร้างภูมิคุ้มกัน
ประเด็นที่ 3 การพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพต้องอาศัยการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้รับการ
สนับสนุนส่งเสริมด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ของการวิจั
1. เพื่อศึกษา การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด
สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
2. เพื่อเปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ
อาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น จำแนกตาม ประเภทการจัดการศึกษา และขนาดของสถานศึกษา

สรุปผลการวิจัย
          ผลการเปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาล ในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา 
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น ตามประเภทของสถานศึกษาระหว่างกลุ่ม
วิทยาลัยเทคนิค,อาชีวศึกษากับกลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ,สารพัดช่าง,เกษตรฯ โดยรวม พบว่า โดยรวม
แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านหลักความคุ้มค่า หลักการมี
ส่วนร่วม หลักคุณธรรม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลักนิติธรรม หลัก
ความโปร่งใส หลักความรับผิดชอบ ไม่มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 

ประเมินตนเอง
                        - ตั้งใจฟังอาจารย์
                        - ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินเพื่อน
                       - เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือกับกิจกรรมเป็นอย่างดี

ประเมินอาจารย์


                        - แต่งกายสุภาพเรียบร้อย
                        - มีน้ำเสียงที่น่าฟัง